OR กำไรสุทธิไตรมาสแรก 2,975 ล้านบาท ลดลง 22.6% จากต้นทุนเพิ่ม
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR รายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 2,975 ล้านบาท ลดลง 22.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 3,845 ล้านบาท และคิดเป็นกำไรต่อหุ้นลดลงเหลือ 0.23 บาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน กำไรต่อหุ้น 0.32 บาท
รายได้ขายและบริการในไตรมาสแรก รวม 197,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 177,291 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่กำไรจากการดำเนินลดลง จากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
OR กำไรปี 65 ร่วง 9.62% จากต้นทุนพุ่ง ปันผลงวดครึ่งปีหลัง 0.15 บาท
ชำแหละหุ้น PTT-OR ราคาน่าลงทุนหรือยัง? หลังกองทุนนอร์เวย์ขายทิ้ง ปมเมียนมา
สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาสแรกมีรายได้ขายและบริการ197,414 ล้านบาท ลดลง 8,854 ล้านบาท หรือ ลกลง 4.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักจากราคาจำหน่ายน้ำมันที่ลดลง ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกจากความกังวลต่อการเกิดสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ และอุปทานยังตึงตัวจากสถานการณ์คว่ำบาตรรัสเซีย และกลุ่ม OPEC+ ประกาศปรับลดกำลังการผลิต ทำให้ไตรมาสนี้รายได้ขายและบริการของทุกกลุ่มธุรกิจปรับตัวลดลง
กลุ่มธุรกิจMobility และกลุ่มธุรกิจ Global ปรับลดลง 4.1% โดยหลักจากราคาจำหน่ายน้ำมันโดยเฉลี่ยที่ลดลง โดยปริมาณจำหน่ายของกลุ่มธุรกิจMobility อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า กลุ่มธุรกิจ Global มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้น 8.5% ตามการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในประเทศกัมพูชา และสปป.ลาวคำพูดจาก สล็อต true wallet
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับลดลง 7.0% โดยลดลงจากปัจจัยฤดูกาลที่ในไตรมาสก่อนหน้าเป็น high seasonทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ
EBITDA ในไตรมาสแรกมีจำนวน 5,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,673 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566โดยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจโดยกลุ่มธุรกิจ Mobilityจากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ฟื้นตัว โดยหลักจากดีเซล และเบนซิน รวมทั้งปริมาณจำหน่ายและกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Global ที่เพิ่มขึ้นจากภาพรวมกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการจำหน่ายและกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร โดยหลักจากประเทศกัมพูชา และสปป.ลาว
ในขณะที่ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มเล็กน้อยจากทั้งจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ สำหรับภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง 20.7% จากค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขาย และค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investments) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้OR มีกำไรสุทธิ จำนวน 2,975 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนกว่า 100% โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.25 บาท
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่าในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา OR ขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติจริง (OR in Action) โดยดำเนินการตามแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ OR หรือ OR SDG ผ่านหลากหลายกิจกรรม โดยในด้าน “S” หรือ “Small” มุ่งสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก OR ได้จัดกิจกรรม “ตลาดเติมสุข” ที่จังหวัดสกลนคร ส่งเสริมร้านค้าชุมชนให้สร้างรายได้ พร้อมเติมเต็มความสุข ตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางชุมชนและความเป็นผู้นำสถานีบริการที่มุ่งช่วยเหลือชุมชน ของ พีทีที สเตชั่น
นอกจากนี้ ได้ร่วมกับ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ “กาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน” และ “ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที” ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ OR ในการสร้างพันธมิตรเพื่อหาโอกาสขยายธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเครื่องดื่มของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมยิ่งขึ้น ตามแนวทาง OR SDG ในด้าน “D” หรือ “DIVERSIFIED” มุ่งสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ
OR ยังได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการความร่วมมือด้านธุรกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ด้านความยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า และพัฒนาธุรกิจร่วมกัน และยังได้ร่วมแก้วิกฤติฝุ่น PM 2.5 โดยการจำหน่ายน้ำมันกำมะถันต่ำสูตรพิเศษที่มีค่ากำมะถันต่ำเฉลี่ยประมาณ 10 PPM ซึ่งต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกำหนดถึงประมาณ 5 เท่า ที่ พีทีที สเตชั่น กว่า 400 สถานี
การดำเนินงานดังกล่าวสอดคล้องกับ OR SDG ในด้าน “G” หรือ “GREEN” ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-neutrality) ภายในปี 2030 อันจะนำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Carbon Zero) ในปี 2050 อย่างยั่งยืน
ราคาหุ้น OR ปิดตลาดวันนี้(10 พ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 2.70 บาท อยู่ที่ 22.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 590.52 ล้านบาท